วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


Snow White & The huntsman: สโนว์ไวท์ผู้กล้ากับพรานป่ารูปหล่อ




                ถ้ากล่าวถึงสาวงามนาม “สโนว์ไวท์” คงเป็นชื่อที่คุ้นหูไม่ว่าใครๆก็ต้องรู้จักหรือเคยได้ยินได้ดูนิทานเรื่องนี้กันมาทั้งนั้น โดยเนื้อเรื่องหลักๆดั้งเดิมจะเริ่มต้นจากความอิจฉาริษยาของราชินีต่อความสวยของสโนว์ไวท์ จึงเป็นเหตุให้นางสั่งพรานป่าให้พาสโนว์ไวท์ไปสังหารแต่กลับปล่อยตัวนางไป ต่อมาสโนว์ไวท์ได้รับความช่วยเหลือจากคนแคระทั้ง 7 แต่สุดท้ายก็ถูกราชินีแม่มดนำแอปเปิลอาบยาพิษมาให้ทานอยู่ดี ทำให้นางสิ้นใจทันที แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มีเจ้าชายรูปงามมาจุมพิตช่วยชีวิตนางไว้ได้ ราชินีจึงพ่ายแพ้ไป พล็อตเรื่องดั้งเดิมนั้น สโนว์ไวท์มีความอ่อนโยน แสนซื่อ ตามภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงในนิทานทั่วไปที่ชวนให้เคลิ้มฝัน แต่ใน Snow White & The huntsman (สโนว์ไวท์กับพรานป่าในศึกมหัศจรรย์) นั้น ผู้กำกับ รูเพิร์ต แซนเดอร์ส ได้ฉีกกรอบของสโนว์ไวท์ในแบบเดิมๆไป เปลี่ยนเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ผู้อ่อนโยน ให้กลายเป็น เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ผู้กล้าหาญ ชาญฉลาด และมีความเป็นผู้นำสูง ทำให้สโนว์ไวท์ในเวอร์ชั่นนี้ กลายเป็นภาพยนตร์ แนว Action Adventure ที่น่าติดตาม แต่ก็ยังคงคอนเซปดั้งเดิมไว้ในเรื่องของ กระจกวิเศษ และ แอปเปิลอาบยาพิษ รวมไปถึงคำพูดติดปากของราชินีที่ว่า “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ผู้ใดงามเลิศในปฐพี” นั่นเอง



                Snow White & The huntsman ในภาพยนตร์นี้นั้น ดำเนินเรื่องราวในแบบ “Classic Design” มีการดำเนินเรื่องอย่างต่อเนื่อง ตามลำดับเวลา ไม่ก้าวกระโดด สโนว์ไวท์นั้น ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆเพื่อหนีให้พ้นจากราชินีแม่มดที่ตามล่านาง เพื่อไปสมทบกับเจ้าชายในอีกเมืองหนึ่ง รวบรวมกำลังพลเพื่อกลับไปทวงบัลลังก์คืนจากราชินีแม่มด โดยได้รับความช่วยเหลือจากนายพรานป่ารูปหล่อและเหล่าคนแคระ รวมไปถึงเจ้าชายที่ออกตามหาสโนว์ไวท์ทันทีที่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ การเปิดเรื่องนั้น ใช้วิธีการบรรยาย โดยการเล่าถึงจุดกำเนิดและต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจนถึงราชินีสังหารพระราชาเพื่อขึ้นครองราชย์และกักขังสโนว์ไวท์ไว้บนหอคอยทำให้เนื้อเรื่องเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน จนกระทั่ง ราชินีได้รับรู้ว่า “หัวใจ” ของสโนว์ไวท์นั้น สามารถทำให้นางคงความสาวได้อย่างถาวรชั่วนิรันดร์โดยไม่ต้องอาศัยความสาวจากหญิงใดอีก จึงเป็นเหตุให้นางต้องการหัวใจของสโนว์ไวท์เพียงแต่ว่าสโนว์ไวท์ก็ได้หนีไปเสียแล้ว นางจึงสั่งให้ทหารออกตามล่าพร้อมด้วยจ้างนายพรานป่านำทางอีกด้วย แต่สุดท้ายแล้วพรานป่าก็ย้ายฝั่งไปช่วยสโนว์ไวท์ในการหลบหนี แต่แล้วนางก็โดนราชินีที่ปลอมตัวเป็นเจ้าชายนำแอปเปิลอาบยาพิษให้ทานอยู่ดี แต่เนื้อเรื่องมีการพลิกผลันตรงที่ พรานป่านั้น กลายเป็นตัวหลักในการที่ช่วยสโนว์ไวท์ถอนพิษจากแอปเปิลโดยการจุมพิตแทนที่จะเป็นเจ้าชาย ซึ่งหลังจากสโนว์ไวท์ฟื้นแล้วนางก็ได้รวบรวมกำลังพล ไปสู้รบกับกองทัพราชินีเพื่อทวงคืนบัลลังก์อันเป็นของตนได้สำเร็จ

                ในเนื้อเรื่องนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในความขัดแย้งระหว่างราชินี กับ สโนว์ไวท์ ที่ทางฝ่ายราชินีนั้น ต้องการได้หัวใจของสโนว์ไวท์มาเพียงเพื่อความสาวชั่วนิรันดร์ ในขณะที่สโนว์ไวท์ต้องการเพียงแค่ทวงบัลลังก์คืนจากราชินีเท่านั้น  คนดูมีส่วนลุ้นในใจลึกๆว่าสุดท้ายแล้วสโนว์ไวท์จะสามารถฟื้นคืนมาทวงบัลลังก์จากราชินีได้สำเร็จหรือไม่ ทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น และ น่าสนใจไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

                ทางด้านตัวละครนั้น ผู้กำกับได้เลือกสรรได้อย่างลงตัว ทั้ง “สโนว์ไวท์” รับบทโดย “คริสเตน สจ๊วต” (สาวน้อยแวมไพร์จากแวมไพร์ ทไวไลท์ ) ที่แสดงในบทของสโนว์ไวท์ได้อย่างลึกซึ้งจนทำให้แทบจะคิดว่าเธอคือเจ้าหญิงจริงๆที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และความเป็นผู้นำได้อย่างดี นอกจากนี้ ยังมีอีกตัวละครสำคัญที่พลิกผันจากเรื่องดั้งเดิม กลายมาเป็นตัวเด่นที่เด่นซะยิ่งกว่า เจ้าชายรูปงาม นั่นคือบท ของ “พรานป่า” ที่รับบทโดย “คริส เฮมส์เวิร์ธ” (เทพเจ้าสุดหล่อจาก ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า) ที่ได้รับคำสั่งให้ตามล่าสังหารสโนว์ไวท์ แต่ในเรื่องนั้นเขากลับไว้ชีวิตและช่วยเหลือนาง พรานป่าจึงเป็นเหมือนทั้งพี่เลี้ยงและผู้ปกป้องของเจ้าหญิงสโนว์ไวท์จนถึงจุดหมาย ซึ่งระหว่างสโนว์ไวท์และพรานป่านั้น ได้ก่อเกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันขึ้นในระหว่างการเดินทางนั่นเอง รวมไปถึงเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ที่รับบทโดย “แซม คลาฟิน” (พระเอกหนุ่มจาก ไพเรทออฟดิคาริบเบียน: ออน สเตรนเจอร์ ไทด์) ซึ่งในเนื้อเรื่องเป็นเหมือนเพื่อนของ สโนว์ไวท์ตั้งแต่เด็กๆและยังเป็นรักแรกของสโนว์ไวท์อีกด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวก็กลับพลิกผันไปเพราะเจ้าชายไม่ใช่ผู้ที่ช่วยให้สโนว์ไวท์ฟื้นคืนชีพได้ และตัวละครสำคัญที่พลาดไม่ได้อีกหนึ่งบทคือตัวละครหลักในฝ่ายร้าย ราชินี นั่นเอง ซึ่งได้รับบทโดย ชาร์ลิซ เธอรอน (ดารายอดฝีมือระดับออสการ์) ที่รับบทราชินีได้อย่างสมบทบาท ซึ่งตัวละครหลักในเนื้อเรื่องนั้น ได้ดำเนินเรื่องได้อย่างสมบทบาทน่าติดตาม ในตัวละครแต่ละตัวนั้น มีลักษณะที่เด่นชัดทั้งด้าน จุดประสงค์และอารมณ์ ดังเช่นฝ่ายราชินี ที่ร้ายซะจนน่าหมั่นไส้ และสโนว์ไวท์ ที่กล้าหาญในแบบฉบับของเจ้าหญิงที่มีความเป็นผู้นำแบบสุดๆนั่นเอง

                สโนว์ไวท์กับพรานป่าในศึกมหัศจรรย์นั้น มีแก่นเรื่องแบบมองโลกในเชิงอุดมคติ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเนื้อเรื่องหลักได้แสดงให้เห็นว่าสโนว์ไวท์นั้น แม้จะหลบหนีเหล่าทหารของราชินีที่หมายเอาชีวิต จนในที่สุดก็พลาดท่าให้กับแผนลวงของราชินีจนได้ แต่แล้วนางก็ฟื้นคืนชีพได้ด้วยจุมพิตด้วยรักจากพรานป่า และในท้ายที่สุดทำให้สามารถเอาชนะราชินีชั่วร้ายและทวงบัลลังก์คืนได้สำเร็จ เรียกได้ว่าจบเรื่อง อย่าง แฮปปี้เอ็นดิ้ง ก็ว่าได้

                ในเรื่องของฉากนั้น ผู้กำกับมีการเลือกโลเคชั่น และสถานที่ในการถ่ายได้อย่างเหมาะสม เข้ากับสถานการณ์ต่างๆที่ดำเนินไปได้อย่างลงตัว มีการใช้เอฟเฟกต์และ CG ได้โดดเด่น อย่างฉากที่ราชินีกลายร่างเป็นอีกา แล้วรวมร่างใหม่จากซากของอีกา ซึ่งทำได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ดูแล้วรู้สึกมีมนตร์ขลังสมกับที่เป็นราชินีแม่มด นอกจากนี้  Costume และ Make up ของตัวละครแต่ละตัวก็มีความเหมาะสมไม่โดดเด่นหวือหวา หรือเหลือเชื่อจนเกินไป ทำให้รู้สึกสมจริงในเนื้อเรื่องได้

                สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างในเรื่องนี้คือ ม้าคู่ใจของสโนว์ไวท์ ที่เป็นสีขาว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ และ ความกล้าแกร่งของเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในตอนเปิดเรื่องนั้น ยังมีการบรรยายเปรียบเทียบลักษณะของสโนว์ไวท์ไว้ว่า “ผิวขาวผ่องดุจหิมะ ปากแดงสดดั่งสีเลือด และมีความกล้าหาญเฉกเช่นกุหลาบที่ออกดอกในฤดูหนาว” ซึ่งบ่งบอกความเป็นสโนว์ไวท์ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด อีกด้วย  รวมทั้ง ร่างกายของราชินีที่แก่ชราลงหลังจากที่พ่ายแพ้และสิ้นชีวิต ลง เพราะนางมีความสวย ความสาวได้จากการ ฉกฉวยเอาความสาวของหญิงอื่นมาเป็นของตัวเอง ทำให้หญิงที่ท่านยึดเอาความสาวมานั้นแก่ชราทันที พอราชินีสิ้นชีพ นางจึงแก่ลง และความสาวก็กลับคืนสู่หญิงทุกคนที่นางยึดมาอีกด้วย

                มุมมองของเหตุการณ์ต่างๆในสโนว์ไวท์นั้น มีมุมมองในแบบของ “ผู้รู้รอบด้าน” ตัวละครหลักต่างๆมีเรื่องราวในแบบของตนเอง ทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของแต่ละตัวละครได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของตัวละครใด

                อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว Snow White & The huntsman ก็ยังมีมุมเล็กๆที่สะท้อนถึงความรักอันบริสุทธิ์ระหว่าง สโนว์ไวท์และพรานป่า ถึงแม้ว่าตอนท้ายจะไม่ได้เคียงคู่กันก็ตาม นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงที่ทุกคนนั้น ตระหนักถึงได้ดีทีเดียวในเรื่องของ “ธรรมะ ยังไงก็ชนะ อธรรม” ไม่ว่า ตัวร้ายนั้น จะร้ายกาจสักเพียงไหน จะสร้างความสำบากให้ฝ่ายดีมากเพียงใด สุดท้ายแล้ว ก็ต้องพ่ายแพ้ ต่อ ความดี หรือ ความถูกต้อง อยู่ดี ซึ่งคำกล่าวนี้ใช้ได้กับในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะในภาพยนตร์ , นิทาน หรือ แม้แต่ชีวิตจริงก็ตาม



“บทวิจารณ์โดย นางสาวเจนจีรา รัชนีกร ณ อยุธยา รหัส 53013360 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณา 
มหาวิทยาลัยศรีปทุม”

ใช้แนวคิดในการวิจารณ์ ได้แก่
-         -  แนวคิดเรื่อง Genre กับการวิจารณ์ และ
-         -  การวิจารณ์ด้วยทฤษฏีการเล่าเรื่อง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น