Snow White & The huntsman: สโนว์ไวท์ผู้กล้ากับพรานป่ารูปหล่อ
ถ้ากล่าวถึงสาวงามนาม
“สโนว์ไวท์”
คงเป็นชื่อที่คุ้นหูไม่ว่าใครๆก็ต้องรู้จักหรือเคยได้ยินได้ดูนิทานเรื่องนี้กันมาทั้งนั้น
โดยเนื้อเรื่องหลักๆดั้งเดิมจะเริ่มต้นจากความอิจฉาริษยาของราชินีต่อความสวยของสโนว์ไวท์
จึงเป็นเหตุให้นางสั่งพรานป่าให้พาสโนว์ไวท์ไปสังหารแต่กลับปล่อยตัวนางไป
ต่อมาสโนว์ไวท์ได้รับความช่วยเหลือจากคนแคระทั้ง 7
แต่สุดท้ายก็ถูกราชินีแม่มดนำแอปเปิลอาบยาพิษมาให้ทานอยู่ดี ทำให้นางสิ้นใจทันที
แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มีเจ้าชายรูปงามมาจุมพิตช่วยชีวิตนางไว้ได้ ราชินีจึงพ่ายแพ้ไป
พล็อตเรื่องดั้งเดิมนั้น สโนว์ไวท์มีความอ่อนโยน แสนซื่อ
ตามภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงในนิทานทั่วไปที่ชวนให้เคลิ้มฝัน แต่ใน Snow White
& The huntsman (สโนว์ไวท์กับพรานป่าในศึกมหัศจรรย์) นั้น ผู้กำกับ รูเพิร์ต แซนเดอร์ส ได้ฉีกกรอบของสโนว์ไวท์ในแบบเดิมๆไป
เปลี่ยนเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ผู้อ่อนโยน ให้กลายเป็น เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ผู้กล้าหาญ
ชาญฉลาด และมีความเป็นผู้นำสูง ทำให้สโนว์ไวท์ในเวอร์ชั่นนี้ กลายเป็นภาพยนตร์ แนว
Action Adventure ที่น่าติดตาม แต่ก็ยังคงคอนเซปดั้งเดิมไว้ในเรื่องของ กระจกวิเศษ และ
แอปเปิลอาบยาพิษ รวมไปถึงคำพูดติดปากของราชินีที่ว่า “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด
ผู้ใดงามเลิศในปฐพี” นั่นเอง
Snow
White & The huntsman ในภาพยนตร์นี้นั้น ดำเนินเรื่องราวในแบบ “Classic Design” มีการดำเนินเรื่องอย่างต่อเนื่อง
ตามลำดับเวลา ไม่ก้าวกระโดด สโนว์ไวท์นั้น
ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆเพื่อหนีให้พ้นจากราชินีแม่มดที่ตามล่านาง
เพื่อไปสมทบกับเจ้าชายในอีกเมืองหนึ่ง
รวบรวมกำลังพลเพื่อกลับไปทวงบัลลังก์คืนจากราชินีแม่มด โดยได้รับความช่วยเหลือจากนายพรานป่ารูปหล่อและเหล่าคนแคระ
รวมไปถึงเจ้าชายที่ออกตามหาสโนว์ไวท์ทันทีที่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่
การเปิดเรื่องนั้น ใช้วิธีการบรรยาย
โดยการเล่าถึงจุดกำเนิดและต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจนถึงราชินีสังหารพระราชาเพื่อขึ้นครองราชย์และกักขังสโนว์ไวท์ไว้บนหอคอยทำให้เนื้อเรื่องเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน
จนกระทั่ง ราชินีได้รับรู้ว่า “หัวใจ” ของสโนว์ไวท์นั้น
สามารถทำให้นางคงความสาวได้อย่างถาวรชั่วนิรันดร์โดยไม่ต้องอาศัยความสาวจากหญิงใดอีก
จึงเป็นเหตุให้นางต้องการหัวใจของสโนว์ไวท์เพียงแต่ว่าสโนว์ไวท์ก็ได้หนีไปเสียแล้ว
นางจึงสั่งให้ทหารออกตามล่าพร้อมด้วยจ้างนายพรานป่านำทางอีกด้วย
แต่สุดท้ายแล้วพรานป่าก็ย้ายฝั่งไปช่วยสโนว์ไวท์ในการหลบหนี
แต่แล้วนางก็โดนราชินีที่ปลอมตัวเป็นเจ้าชายนำแอปเปิลอาบยาพิษให้ทานอยู่ดี
แต่เนื้อเรื่องมีการพลิกผลันตรงที่ พรานป่านั้น กลายเป็นตัวหลักในการที่ช่วยสโนว์ไวท์ถอนพิษจากแอปเปิลโดยการจุมพิตแทนที่จะเป็นเจ้าชาย
ซึ่งหลังจากสโนว์ไวท์ฟื้นแล้วนางก็ได้รวบรวมกำลังพล
ไปสู้รบกับกองทัพราชินีเพื่อทวงคืนบัลลังก์อันเป็นของตนได้สำเร็จ
ในเนื้อเรื่องนั้น
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในความขัดแย้งระหว่างราชินี กับ สโนว์ไวท์
ที่ทางฝ่ายราชินีนั้น ต้องการได้หัวใจของสโนว์ไวท์มาเพียงเพื่อความสาวชั่วนิรันดร์
ในขณะที่สโนว์ไวท์ต้องการเพียงแค่ทวงบัลลังก์คืนจากราชินีเท่านั้น
คนดูมีส่วนลุ้นในใจลึกๆว่าสุดท้ายแล้วสโนว์ไวท์จะสามารถฟื้นคืนมาทวงบัลลังก์จากราชินีได้สำเร็จหรือไม่
ทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น และ น่าสนใจไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทางด้านตัวละครนั้น
ผู้กำกับได้เลือกสรรได้อย่างลงตัว ทั้ง “สโนว์ไวท์” รับบทโดย “คริสเตน สจ๊วต”
(สาวน้อยแวมไพร์จากแวมไพร์ ทไวไลท์ )
ที่แสดงในบทของสโนว์ไวท์ได้อย่างลึกซึ้งจนทำให้แทบจะคิดว่าเธอคือเจ้าหญิงจริงๆที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ
และความเป็นผู้นำได้อย่างดี นอกจากนี้
ยังมีอีกตัวละครสำคัญที่พลิกผันจากเรื่องดั้งเดิม
กลายมาเป็นตัวเด่นที่เด่นซะยิ่งกว่า เจ้าชายรูปงาม นั่นคือบท ของ “พรานป่า”
ที่รับบทโดย “คริส เฮมส์เวิร์ธ”
(เทพเจ้าสุดหล่อจาก ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า) ที่ได้รับคำสั่งให้ตามล่าสังหารสโนว์ไวท์
แต่ในเรื่องนั้นเขากลับไว้ชีวิตและช่วยเหลือนาง พรานป่าจึงเป็นเหมือนทั้งพี่เลี้ยงและผู้ปกป้องของเจ้าหญิงสโนว์ไวท์จนถึงจุดหมาย
ซึ่งระหว่างสโนว์ไวท์และพรานป่านั้น ได้ก่อเกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันขึ้นในระหว่างการเดินทางนั่นเอง
รวมไปถึงเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ที่รับบทโดย “แซม
คลาฟิน” (พระเอกหนุ่มจาก ไพเรทออฟดิคาริบเบียน: ออน สเตรนเจอร์ ไทด์) ซึ่งในเนื้อเรื่องเป็นเหมือนเพื่อนของ
สโนว์ไวท์ตั้งแต่เด็กๆและยังเป็นรักแรกของสโนว์ไวท์อีกด้วย
แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวก็กลับพลิกผันไปเพราะเจ้าชายไม่ใช่ผู้ที่ช่วยให้สโนว์ไวท์ฟื้นคืนชีพได้
และตัวละครสำคัญที่พลาดไม่ได้อีกหนึ่งบทคือตัวละครหลักในฝ่ายร้าย ราชินี นั่นเอง
ซึ่งได้รับบทโดย ชาร์ลิซ เธอรอน
(ดารายอดฝีมือระดับออสการ์) ที่รับบทราชินีได้อย่างสมบทบาท
ซึ่งตัวละครหลักในเนื้อเรื่องนั้น ได้ดำเนินเรื่องได้อย่างสมบทบาทน่าติดตาม
ในตัวละครแต่ละตัวนั้น มีลักษณะที่เด่นชัดทั้งด้าน จุดประสงค์และอารมณ์
ดังเช่นฝ่ายราชินี ที่ร้ายซะจนน่าหมั่นไส้ และสโนว์ไวท์
ที่กล้าหาญในแบบฉบับของเจ้าหญิงที่มีความเป็นผู้นำแบบสุดๆนั่นเอง
สโนว์ไวท์กับพรานป่าในศึกมหัศจรรย์นั้น
มีแก่นเรื่องแบบมองโลกในเชิงอุดมคติ ได้อย่างชัดเจน
ซึ่งเนื้อเรื่องหลักได้แสดงให้เห็นว่าสโนว์ไวท์นั้น แม้จะหลบหนีเหล่าทหารของราชินีที่หมายเอาชีวิต
จนในที่สุดก็พลาดท่าให้กับแผนลวงของราชินีจนได้ แต่แล้วนางก็ฟื้นคืนชีพได้ด้วยจุมพิตด้วยรักจากพรานป่า
และในท้ายที่สุดทำให้สามารถเอาชนะราชินีชั่วร้ายและทวงบัลลังก์คืนได้สำเร็จ
เรียกได้ว่าจบเรื่อง อย่าง แฮปปี้เอ็นดิ้ง ก็ว่าได้
ในเรื่องของฉากนั้น
ผู้กำกับมีการเลือกโลเคชั่น และสถานที่ในการถ่ายได้อย่างเหมาะสม เข้ากับสถานการณ์ต่างๆที่ดำเนินไปได้อย่างลงตัว
มีการใช้เอฟเฟกต์และ CG ได้โดดเด่น อย่างฉากที่ราชินีกลายร่างเป็นอีกา
แล้วรวมร่างใหม่จากซากของอีกา ซึ่งทำได้อย่างสมบูรณ์
ทำให้ดูแล้วรู้สึกมีมนตร์ขลังสมกับที่เป็นราชินีแม่มด นอกจากนี้ Costume และ Make
up ของตัวละครแต่ละตัวก็มีความเหมาะสมไม่โดดเด่นหวือหวา
หรือเหลือเชื่อจนเกินไป ทำให้รู้สึกสมจริงในเนื้อเรื่องได้
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างในเรื่องนี้คือ
ม้าคู่ใจของสโนว์ไวท์ ที่เป็นสีขาว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ และ
ความกล้าแกร่งของเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในตอนเปิดเรื่องนั้น
ยังมีการบรรยายเปรียบเทียบลักษณะของสโนว์ไวท์ไว้ว่า “ผิวขาวผ่องดุจหิมะ
ปากแดงสดดั่งสีเลือด และมีความกล้าหาญเฉกเช่นกุหลาบที่ออกดอกในฤดูหนาว”
ซึ่งบ่งบอกความเป็นสโนว์ไวท์ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด อีกด้วย รวมทั้ง ร่างกายของราชินีที่แก่ชราลงหลังจากที่พ่ายแพ้และสิ้นชีวิต
ลง เพราะนางมีความสวย ความสาวได้จากการ ฉกฉวยเอาความสาวของหญิงอื่นมาเป็นของตัวเอง
ทำให้หญิงที่ท่านยึดเอาความสาวมานั้นแก่ชราทันที พอราชินีสิ้นชีพ นางจึงแก่ลง
และความสาวก็กลับคืนสู่หญิงทุกคนที่นางยึดมาอีกด้วย
มุมมองของเหตุการณ์ต่างๆในสโนว์ไวท์นั้น
มีมุมมองในแบบของ “ผู้รู้รอบด้าน” ตัวละครหลักต่างๆมีเรื่องราวในแบบของตนเอง
ทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของแต่ละตัวละครได้ง่ายขึ้น
ไม่ต้องคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของตัวละครใด
อย่างไรก็ตาม
ในท้ายที่สุดแล้ว Snow White & The huntsman ก็ยังมีมุมเล็กๆที่สะท้อนถึงความรักอันบริสุทธิ์ระหว่าง
สโนว์ไวท์และพรานป่า ถึงแม้ว่าตอนท้ายจะไม่ได้เคียงคู่กันก็ตาม นอกจากนี้
ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงที่ทุกคนนั้น ตระหนักถึงได้ดีทีเดียวในเรื่องของ
“ธรรมะ ยังไงก็ชนะ อธรรม” ไม่ว่า ตัวร้ายนั้น จะร้ายกาจสักเพียงไหน จะสร้างความสำบากให้ฝ่ายดีมากเพียงใด
สุดท้ายแล้ว ก็ต้องพ่ายแพ้ ต่อ ความดี หรือ ความถูกต้อง อยู่ดี
ซึ่งคำกล่าวนี้ใช้ได้กับในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะในภาพยนตร์ , นิทาน หรือ
แม้แต่ชีวิตจริงก็ตาม
“บทวิจารณ์โดย นางสาวเจนจีรา รัชนีกร ณ อยุธยา รหัส 53013360
คณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณา
มหาวิทยาลัยศรีปทุม”
ใช้แนวคิดในการวิจารณ์ ได้แก่
- - แนวคิดเรื่อง Genre กับการวิจารณ์
และ
- - การวิจารณ์ด้วยทฤษฏีการเล่าเรื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น